ขอคัดลอกจากเว็บบอร์ตของคุณ FF Information Center จากร้าน โฟโต้ไฟล์ มาดังนี้ครับ…

พี่หนึ่ง หรือคุณวิทิตนันท์ โรจนพานิช เป็นทั้งนักเขียนบทอิสระ อาจารย์สอนการแสดง ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ เมื่อเขาขึ้นถึง ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Everest) ปกติแรงกดอากาศอยู่ที่ -40 องศา วันที่ขึ้นไปถึงนั้นแรงกดอากาศเพิ่มขึ้น เป็น 10 องศา ขณะที่ขึ้นถึงจุดสุดยอดของเขาเอเวอเรสต์ (Everest) ผมมองหาที่เหมาะๆ ในการถ่ายรูป แล้วก็เรียกเพื่อนชาว เชอร์ปา (Sherpa) มาสอนการถ่ายภาพ และก็ค่อยๆ บรรจงหยิบรูปพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากกระเป๋า

(พี่หนึ่งเล่าว่า ความตั้งใจที่เอารูปพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นมานั้น นึกถึงตอนที่ดูนักมวยต่อยชนะแล้วที่ชูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อีกครัั้งหนึ่งคือตอนที่ น้องออน ได้เหรียญทองกีฬายกน้ำหนัก แล้วชูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ทำให้พี่หนึ่งบอกกับตัวเองว่าเราต้องทำอะไรเพื่อให้พ่อเราภูมิใจบ้าง )

พี่หนึ่งค่อยชูรูป พระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือศรีษะ ขณะนั้นพี่คิดอย่างเดียวในหัวว่า ผมทำสำเร็จแล้ว สำเร็จด้วยพระบารมีที่อยู่เหนือทุกอย่างบนโลกนี้ ในที่สุดเราก็ทำเพื่อพ่อได้สำเร็จ

พี่หนึ่งเล่าต่อว่า ขณะนั้นมีฝรั่งถามว่า

“Who is he – รูปใครหรือ?” อีกคนหนึ่งถามว่า Your Father? – พ่อคุณหรือ?

“Yes, he is. Not only my father but also 60 Millions”

ใช่ แต่ไม่ใช่พ่อของผมคนเดียว ท่านเป็นพ่อของคนไทยอีก 60 ล้านคน

ทันใดก็เสียงตะโกนทีมชาวอินเดียตะโกนขึ้น

King of Thailand” กษัตริย์ของคนไทยขณะนั้น เชอร์ปาในทีมก็ตะโกนว่า “Long live the King, Long live the King”ขอจงทรงพระเจริญ ขอจงทรงพระเจริญ ทุกคนพากันเปร่งเสียงตาม

ทรงพระเกษมสำราญ ขอจงทรงพระเจริญ

ที่มา: บริษัท โฟโต้ไฟล์ จำกัด
http://www.fotofile.net/board/viewtopic.php?t=13068
http://www.fotofile.net/news.php?n_id=627
http://www.fotofile.net/news.php?n_id=626

ข้อมูลทั่วไปของยอดเขาเอเวอเรสต์ (Everest):
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C

จากตอนที่ผ่านมาผมได้พูดถึงเมืองเว้ไปแล้ว ตอนนี้ผมขอพูดถึงเมืองดานัง (Da Nang) เป็นเมืองต่อไปเลยครับ ดานังเป็นเมืองท่าและทำรายได้ให้กับประเทศเวียตนามได้เยอะมาก และนักท่องเที่ยวคงจะหลีกหนีการท่องเที่ยวที่นี่คงไม่ได้ โดยเฉพาะชาวไทยที่ไปที่ไหนก็ตาม เราจัดว่าเป็นชาติที่เป็นนักช๊อบมือฉมังของโลกเลยทีเดียวครับ ที่บอกมาอย่างนี้ผมหมายถึงว่า การเดินทางพอมาถึงเมืองดานังปั๊ป ก็เข้าแหล่งช๊อปปิ้งกันเลยทีเดียว เพราะคณะทัวร์พาเราไปหมู่บ้านแกะสลักหิน ถ้าเทียบได้กับเมืองไทยก็พานักท่องเที่ยวไปซื้อพลอย ซื้ออัญมณี ตามศูนย์ต่าง ๆ ในกรุงเทพ หรือพัทยา แหละครับ

พอเสร็จสรรพเค้าก็พาเราไปต่อครับ เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุของเมืองดานัง ที่เก็บถาวรวัตถุที่ขุดพบได้จากอดีตการ ร่วมมือกับประเทศฝรั่งเศส ในการจัดแสดงงานศิลปะต่าง ๆ  และยังมีการแสดงปักผ้า สินค้าชั้นดีของเวียตนาม พร้อมกับของฝาก ของที่ระลึกกันเช่นเคยครับ

ตรงนี้เองผมเลยได้โอกาสหลีกหนีจากการท่องเที่ยวแบบเดิม ๆ มาเดินดูนิทรรศการพลุโลก (Da Nang International Fireworks Competition 2009) ที่มีการจัดขึ้นทุกปีหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่วันที่ผมไปเป็นการแข่งขันวันแรก ที่งานมีสองวันด้วยกันครับ น่าดูชมมาก ๆ แต่เป็นการจัดแสดงภาพถ่ายพลุอันสวยสดจากช่างภาพชาวเวียตนาม เดินไป ดูไป ชมไป เพลินดีเหมือนกันครับ ยังคิดเลยว่าช่างภาพเวียตนามก็เก่งเหมือนกันแหะ เดินไปมายิ่งใกล้เวลาเย็นที่จะมีการแข่งขัน ประชาชนก็เริ่มทยอยกันมา ห้างร้านก็เริ่มปิดตัวลง คงแตกต่างจากประเทศไทย ที่ประชาชนของเขาเวลาทางการมีอีเวนท์ใหญ่ ๆ สักที เค้าก็มารวมตัว งานนี้ของจริงครับ ใคร ๆ ที่บอกว่าการจราจรในเวียตนาม เสียงแตรของมอไซต์เวียตนามเป็นไง ได้ยินกันละคราวนี้ อีกอย่างการข้ามถนนที่ใคร ๆ บอกว่าลุ้น ๆ ผมก็ข้ามมาแล้วครับ ค่อย ๆ เดิน เค้าจะหลบเราเอง… แน่จริง ๆ ให้มันได้อย่างนี้สิว่ะ..

พอถึงเวลาเราก็มารวมตัวตามที่ไกด์ได้กำหนดไว้ แล้วก็ถึงเวลาช๊อปปิ้งกันอีกแล้วครับ งานนี้เค้าพาเราไปเสียเงินที่ตลาด…​อีกแล้วครับ แต่วันนี้เผอิญว่าเป็นวันงานเทศกาลพลุโลก ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้ร้านค้าทยอยปิดตัวลง ผมก็หลีกหนึจากคณะอีกเช่นเคยครับ มาเดินดูวิว ดูสาว ๆ เวียตนามกันว่าเค้ามีวิถีชีิวิตกันอย่างไร ผมเคยอ่านนิตยสาร FHM เค้าบอกว่าผู้หญิงที่อกที่มีขนาด 28 นิ้ว อดขี่มอไซต์ครับ (เมื่อถึงอายุที่สามารถนะครับ) มิน่าล่ะ ทำไมผมเจอแต่เสื้อในดันทรงกับชุดเอ๋าด่าย (Au-Dai) เยอะมากจริง ๆ ตึง ๆ กันทั้งนั้น แต่ของจริงเค้าบอกว่า ตามอายุครับ ที่สามารถขี่ตั้งแต่จักรยาน จักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ มอเตอร์ไซต์ ครับ

โดยเฉพาะวัยรุ่นที่นั่น ขอบอก ที่นั่นมีโรงหนังด้วย ชื่อลิโด (Ledo) ด้วยอ่ะ ร้ายมาก ๆ แล้วผมก็เดินไปเรื่อย ๆ ดูชีิวิต ผู้คนที่นั่นเป็นยังไง ได้เดินห้างด้วยครับ ดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่ใหญ่โตเหมือนในบ้านเรา ผมเลยนึกได้ว่าใครเคยไปเดินห้างวันเดอร์บางแคบ้างไหม? นั่นแหละเป็นแบบนั้นเลย เดินไปเรื่อย ๆ วนไปมาอย่างไรจุดหมาย คนก็เริ่มเยอะขึ้น เพราะเทศกาลจะเปิดแล้ว รถราก็เริ่มติดขัด ใครมีพื้นที่หน้าบ้านก็เปิดให้เช่าที่จอดมอเตอร์ไซต์กัน เหมือนงานวัดไม่มีผิด แล้วสิ่งที่คิดไว้ก็มาถึงเพราะฝนเริ่มตกมาปรอย ๆ เพราะประเทศนี้ฝนตกเป็นเรื่องปกติ ชุดกันฝนใส่เป็นชุดนักเรียน ไม่มีแปลกใด ๆ มันก็จะมืดแล้วไม่รู้ไปไหน เลยมารอขึ้นรถตามกำหนดเวลานัดหมาย

แล้วเราก็ออกเดินทางไปร้านอาหารที่ได้เตรียมไว้ เส้นทางไม่ไกลครับ แต่การจราจรสิ ทั้งบีบแตร ต่างคนต่างไม่ยอม มอไซต์ที่ว่ามีเยอะ วันนั้นผมได้เห็นจริงแล้ว มันเยอะมากจริง ๆ เยอะจนนึกว่ามีม๊อบที่ไหนซะอีก  ใครไม่เคยไปคงนึกออกยาก ขนาดเลี้ยววงเวียน รถบัสที่เรานั่งยังไปไม่ได้เลยครับ แน่นมาก จนคนขับรถถึงกับไปอ้อมเลยคิดดู พอไปถึงทางร้านก็จัดคาราโอเกะเพลงไทยไว้บริการด้วย อย่างนี้แสดงว่าคนไทย มาเที่ยวเพียบบ แถมพนักงานบางคนยังพูดไทยได้อีกต่างหาก เอาซี้….

พอทราบว่าวันนี้ทางไกด์จะปล่อยให้เราดูพลุด้วยครับ ผมเลยหามุมเด็ด ๆ ในร้านว่าจะดูตรงไหนดี สุดท้ายพนักงานบอกไปข้างบนมั้ย ไม่รอช้าครับ เอาสิ…​เค้าเลยพาไปในมุมตามรูปแหละครับ สูง สวยดีครับ ได้คุยกับพนักงานเสิร์ฟด้วย น่ารักดี คนไทยมาเที่ยวเยอะ เค้าก็บริการเราดีเช่นกัน หาโต๊ะ เก้าอี้มาให้นั่งด้วย แต่พอถึงเวลาพลุจุดแล้วก็กลายเป็นว่าทิศทางลมไม่เป็นใจ ย้อนทางมาหาที่นั่งชมซะงั้น เลยหมดสวยเลย แต่ที่อึ้ง ๆ เลยคือ คนเวียตนามผมเข้าใจแล้วว่า 85 ล้านคนเป็นยังไง เยอะมากจริง ๆ ผมลองซูมภาพที่ถ่ายมาบริเวณสะพาน คนเยอะมากจริง ๆ ตามรูปเลยครับ

จากที่เห็นว่าพลุคงไม่สวยแล้ว เพราะทิศทางลมไม่เป็นใจ คณะทัวร์เราเลยยกเลิกการชม พร้อมกับเดินทางต่อไปเมืองฮอยอัน (Hoi-An) เมืองใกล้ ๆ ดานังเพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วเราก็ได้ไปพักที่โรงแรมริมแม่น้ำ กลางคืนเราก็ไม่รู้หรอกสภาพเป็นยังไง แต่เช้าลงมาทานอาหารก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมาอยู่โรงแรมหรูริมแม่น้ำแม่กลองซะงั้น สวยดีครับ

แล้วเช้าวันนี้เราก็ได้เดินทางต่อไปยังเมืองมรดกโลกครับ ฮอยอัน (Hoi-An) อยู่ไม่ไกลจากที่พักเมื่อคืน ได้มีการถ่ายทำหนัง ละคร กันเยอะครับที่นี่ ตึกรามบ้านช่องสีแปลกตา สดสวยกันไปตาม ๆ กัน ทำให้การถ่ายภาพของผมสนุกสนานไปตาม ๆ กัน มีอะไร แนวไหน งัดกันขึ้นมาเล่นหมด มุมสวย ๆ ทั้งนั้น

หมดตอน 2 ครับ มาต่อกันภาค 3 ว่าฮอยอัน มีอะไรบ้าง แล้ววันเดินทางกลับเป็นยังไงเร็ว ๆ นี้ครับ

more on Vietnam’s trip, visit at: http://moreaboutnatt.multiply.com/photos/album/19/Middle_Vietnams_Trip/

จากเที่ยวในประเทศกันเยอะแยะ มากมายกันแล้ว ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศบ้างครับ แต่ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินไปนะ นั่งรถบัสไป ตอนแรกก็เกือบจะไม่ได้ไปแล้ว มีติดธุระนู่นนี่ไปหมด แต่พอเคลียร์คิวได้หมดก็หมดห่วง… ครั้งนี้ผมขอเสนอทริปที่บริษัททัวร์ในประเทศมักจะมีโครงการท่องเที่ยวกันอยู่บ้างแล้วครับ เพราะนักท่องเที่ยวชาวไทย ได้เดินทางไปกันเยอะพอสมควร และที่สำคัญ แม่ค้าชาวเวียตนามก็พูดไทยได้ด้วย

กรุงเทพ-มุกดาหาร-สะหวันนะเขต-ลาวบ่าว-เวียตนาม-เว้-ดานัง-ฮอยอัน โปรแกรมนี้เดินทางกัน 6 วันด้วยกันครับ นั่งรถกันเมื่อยตูดเลยทีเดียว ถ้านึกไม่ออกว่าเส้นทางไปยังไง เข้าที่นี่เลยครับ http://maps.google.co.th ใส่การเดินทาง “มุกดาหาร” และใส่ช่องปลายทาง “ดานัง”

ทริปนี้ผมได้ออกเดินทางจากกรุงเทพ เย็นวันที่ 25 มีนาคม นอนกันในรถคืนนึง พอเช้ามาก็ถึงมุกดาหารพอดี แล้วเราก็ได้ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อเดินทางไปเวียตนาม โงกเงกงัวเงียกันไปตามประสาครับ เพราะต้องนอนในรถ จึงหลับไม่ค่อยสบาย

ในการเดินทางไปยังประเทศเวียตนาม ถ้าต้องการขับรถยนต์ของพวกเราไปยังเวียตนาม ต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อนนะครับ เพราะทางการเวียตนามไม่อนุญาตให้รถยนต์พวงมาลัยขวาเข้าไปวิ่งในประเทศเค้า ถ้าไปแนะนำให้ไปแบบทริปคาราวานจะดีกว่าครับ สะดวกกว่าเยอะ

ปลายทางของวันนี้คือเมืองเว้ (Hue) ที่เป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศเวียตนาม วันนี้ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนรถทัวร์ที่เปลี่ยนคันจากที่เดินทางจากกรุงเทพ จนเรามาถึงด่านลาวบ่าว (LaoBao) เป็นชายแดนของประเทศลาว-เวียตนามครับ และเพิ่งทราบว่าเส้นทางที่ได้เดินทางนี้เป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศลาวมีความเจริญรุ่งเรือง เพราะเส้นทางนี้มีการคมนาคมขนส่งจากทะเลจีนใต้ เข้ามาประเทศลาวทางหนึ่งที่เหมือนกับ ถนนมิตรภาพที่ลำเลียงสินค้าต่าง ๆ ขึ้นไปประเทศลาวทางเมืองเวียงจันทร์และสะหวันนะเขตไงครับ

วันนี้เที่ยวก่อนเข้าที่พักแค่เที่ยวเดียวครับ คือ อุโมงค์วินหม็อก (Vinh moc tunnels) เป็นสถานที่เวียตนามเหนือในสมัยนั้นได้ทำสงครามเวียตนาม และไม่ได้ทหารสหรัฐอเมริกาเข้ามาขึ้นบกได้ เลยมีการสร้างอุโมงค์นี้ไว้เพื่อต้านทานทัพใหญ่ของอเมริกาไว้ได้ ภายในแคบ ๆ อับ ๆ ชื้น ๆ เดินยาก

แล้วเราก็มาถึงที่พักตอนหัวค่ำเลยครับ กินข้าวแล้วเข้าที่พัก ที่นี่เวลาเท่ากับเมืองไทยนะครับ ตอนเช้าที่นี่สว่างเร็วกว่าเมืองไทยเกือบครึ่งชั่วโมงได้ ตีห้ากว่า ๆ ก็สว่างกันแล้ว ทำให้หกโมงตรงมืดดลงอย่างรวดเร็ว งานนี้พักอย่างหรู แต่ราคาชาวบ้าน

ตื่นมาก็ทานอาหารเช้าที่โรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้ แต่ที่ชอบคือ กาแฟเวียตนาม มีรสชาติที่แตกต่างจากเมืองไทยเยอะ กินไปคำแรก รสตุ่ย ๆ แต่อึกที่สอง สาม สี่ เฮ้ย ใช้ได้แหะ อร่อยดี แล้วก็ได้กินข้าวเช้าเคล้าแม่น้ำหอม กลางเมืองเว้ พบเห็นวิถึชีวิตชาวเวียตนามด้วยครับ

จากนั้นเราก็ได้เดินทางไปยังพระราชวังเว้ มันก็เหมือนกับเที่ยววัดพระแก้วเราดี ๆ นี่เองครับ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะแยะเหมือนกัน แต่วันนี้เราเจอกลุ่มทัศนศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลชื่ออะไรก็ไม่รู้ เลยแจมไปทั่วเลยครับ จากที่ดูศิลปะคล้ายคลึงกับจีน แต่ก็ไม่เหมือนเลยนะครับ แปลกตาดี

แล้วเราก็ได้เดินทางไปยังเจดีย์เทียนหมู่ วัดของประชาชนชาวเว้ครับ พอหมดกิจกรรมเมืองนี้ปั๊ปเราได้เดินทางออกจากเมืองเว้ปุีป เส้นทางก่อนไป มีแต่ทุ่งข้าว เขียวขจี (ดูเถอะ ผู้ส่งออกข้าวคนไทย ถ้ายังคิดว่าเมืองไทยยังไงก็แจ๋ว ดูภาพของผมก่อน คุณต้องพัฒนาแล้ว)

จากนั้นเราแวะกินอาหารเที่ยงก่อนครับ บรรยากาศริมทะเลจีนใต้ คลื่นแรง ลมแรง อากาศดี เป็นที่พักตากอากาศของคนเวียตนามและนักท่องเที่ยว แต่ไม่เหมือนกับบรรยากาศโดยรวมแตกต่างจากทะเลไทย เพราะทะเลจีนใต้ มันก็คือทะเลใหญ่ที่จะออกไปมหาสมุทรแปซิฟิกนั่นเอง

พออิ่มหนำแล้วเราก็เดินต่อทางไปยังเมืองดานัง (Da Nang) เมืองตากอากาศและเมืองท่า ที่ได้รับความนิยมสูงจากชาวต่างชาติ เพราะจากสงครามเวียตนาม สหรัฐอเมริกา ใช้เมืองนี้เป็นที่จอดเครื่องบิน และเรือรบ จากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้มีการพัฒนาอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียวครับ ดูเส้นทางเก่าในภาพด้านบนสิครับ โค้งไปมา ผ่านภูเขาสูง ก่อนที่ทางการจะมีการขุดจะเปลี่ยนเป็นการเดินทางในอุโมงค์ครับ ญี่ปุ่นสร้างให้ครับ ใช้เทคโนโลยีการขุดเจาะมาใช้ ชื่อว่า อุโมงค์ไฮ่เหวิน (Hai Van tunnel) รถยนต์วิ่งได้ 40 กม./ชม. ถนนสองเลน ห้ามจักรยานยนต์วิ่ง ให้นำขึ้นรถบรรทุกวิ่ง และคนนั่งรถชัตเตอร์บัสเอาครับ เพราะอุโมงค์นี้เป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยาวกว่า 6,800 เมตรเชียวครับ ต้องเสียค่าผ่านทางก่อนจึงผ่านไปได้ แต่พอผ่านมาเป็นคนละโลกเลยครับ อากาศเปลี่ยน คนเปลี่ยนจากน้อย ๆ เป็นเยอะแยะตามสภาพ 85 ล้านคนทั่วประเทศเวียตนาม

ออกมาจากอุโมงค์ก็พบเลยครับ ดานังเป็นเมืองใหญ่มาก ในความคิดของผมนะ คนอื่นอาจคิดต่างได้ พัทยา ศรีราชา ระยอง เทียบไม่ติด แต่ขนาดท่าเรือ ความจอแจ เมืองอุตสาหกรรม ของเรากินขาดครับ จะเป็นยังไงกับเมืองดานัง สภาพบ้านเมือง ประชาชน ต่อภาคสองครับ…

moreaboutnatt on Vietnam (Hue-Danang) Visit at: http://moreaboutnatt.multiply.com/photos/album/19/Middle_Vietnams_Trip

เมื่อคุณใช้ในกล้องถ่ายภาพในการฝึกฝนต่าง ๆ สิ่งที่คุณขาดไม่ได้คือการเก็บ และบำรุงรักษา ทำให้กล้องที่ซื้อมาแสนจะแพงอยู่กับเราไปนาน ๆ และกล้องสภาพดี การขายออกเพื่อหารุ่นใหม่เป็นมือสองย่อมได้ราคาที่ดีตามมาเช่นเดียวกันครับ ผมมีวิธีการบำรุงรักษา พร้อมทั้งอุปกรณ์ในการดูแลรักษาอย่างง่าย ที่สอดคล้องตามทุนทรัพย์มีน้อยหรือมาก ก็ตามแต่นะครับ

อุปกรณ์ในการเก็บกล้อง เป็นพวกกระเป๋า เป้ มีหลากหลายแบบหลายแนว และหลากหลายยี่ห้อมากครับ เลือกซื้อได้เลยตามกำลังทรัพย์ของเราเอง ทั้งของในประเทศก็ดี และต่างประเทศก็ดีทั้งนั้นแหละครับ เดี๋ยวนี้ถ้าถามว่าเค้าฮิตกันแบบไหน ผมว่าคงไม่หนีไปมากกว่าเป้เอาไว้สะพายนะครับ สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายตัวเอง ใส่ของได้หลายอย่าง และถ้าคุณซื้อมาแล้วก็อย่าลืมทำความสะอาดมันด้วยนะครับ ทั้งข้างด้านในและด้านนอกเลยนะครับ .. สำคัญ ๆ นะครับ เวลาหลังการเดินทางท่องเที่ยวแล้ว แล้วทำไมถึงจะต้องทำกระเป๋าให้สะอาดด้วยล่ะ?? คำตอบง่าย ๆ เลยครับ กล้องถ่ายรูปแพ้ฝุ่น ถ้ากระเป๋าสกปรก ฝุ่นเข้ากล้องก็จะเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเสียเงินล้างกล้องมาแล้ว ถ้ากระเป๋าเราไม่สะอาด เวลาเราถอดเปลี่ยนเลนส์บ่อย ๆ ฝุ่นเนี่ยแหละครับ จะเข้าไปทำให้กล้องสกปรก ถ่ายแล้วมีฝุ่นตามมา

Foto File Bag

การเปลี่ยนเลนส์กล้อง สำหรับผู้ที่มีเลนส์มากกว่า 1 ตัวขึ้นไปครับ สำคัญอีกเช่นกัน กล้องจะสะอาด และฝุ่นจะเข้ากล้องมากหรือน้อยก็จะอยู่ตรงนี้ด้วยครับ ดูสถานที่ที่เราเปลี่ยนเลนส์ด้วยนะครับ ว่าในที่นั้น ๆ มีฝุ่นอยู่เยอะหรือไม่? และถามว่าถ้าเปลี่ยนเลนส์ในสถานที่ฝุ่นน้อยแล้ว ทำไมฝุ่นยังมาอยู่ที่เซ็นเซอร์เราอีก ถ่ายภาพแล้วเป็นจุด ๆ ใน F Number แคบ ๆ ตอบได้ง่าย ๆ ครับ ฝาแค๊บที่ปิดกล้องนั่นแหละครับสะอาดมากน้อยเพียงไหน ที่จะเอามาปิดกล้องที่เพิ่งล้างมาสะอาด ๆ มีช่างภาพต่างประเทศและนักข่าวบางที่ เค้าแนะนำว่าให้เอาสติ๊กเกอร์ 2 หน้าแบบบางที่เอามาติดบอร์ดนั่นแหละครับ เอามาติดและแปะไว้ในฝาแค๊บเลนส์เพื่อดักฝุ่น และไม่ควรเอาฝาแค๊บเลนส์ไว้ในกระเป๋ากางเกงนะครับ ฝุ่นจะเข้าไปจับเพียบบเช่นเดิม

ผ้าเช็ดเลนส์ ในท้องตลาดมีค่อนข้างเยอะนะครับ หลากหลายราคาอีกเช่นเคย ที่ผมใช้และเคยเห็นช่างซ่อมกล้องใช้อยู่ คือผ้าไมโครไฟเบอร์ของ 3M ที่วางขายอยู่ร้อยกว่าบาท จะบอกว่าดีมาก คราบไขมันหายไปเยอะ และถ้ามาเช็ดหน้าเลนส์ผมว่าน้ำยาต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงนะครับ เพราะว่าการโค๊ดตัดแสง ต่าง ๆ ที่อยู่บนหน้าเลนส์จะทำให้หลุดร่อนออกไปได้ง่ายกว่า การเช็ดควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดเป็นวง ๆ จากด้านในไปด้านนอก หมุนเบา ๆ นะครับ แค่นี้ก็เพียงพอ แต่ถ้าไม่ออกให้เอาไอร้อนจากปากเราเนี่ยล่ะ อังไปสักพักแล้วค่อยเอาผ้านี้เช็ด และควรหลีกเลี่ยงการเอาผ้าดังกล่าวไปเช็ดกับอุปกรณ์อื่น ๆ นะครับ ใช้เฉพาะอุปกรณ์เท่านั้น

ขยืมรูปจาก Thai iPhone club นะครับ

ลูกลม เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ควรจะมีไว้ในกระเป๋ากล้อง และควรจะมีเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเช่นเดียวกับผ้าเช็ดเลนส์เลยครับ ถามว่ามีแล้วใช้อย่างไร มันคืออะไร คำตอบง่าย ๆ ครับ เมื่อคุณถ่ายภาพมาใน F Number กลาง ๆ  แล้วมีฝุ่นปรากฎอยู่ ปิดกล้อง ถอดเลนส์ ใช้ฟังก์ชั่นยกกระจกขึ้นมา (ห้ามใช้ชัตเตอร์ B เด็ดขาด เพราะกระแสไฟจะเข้าไปหล่อเลี้ยง แล้วเจอกับแสงตรง ๆ ทำให้เสียได้นะครับ) จับกล้องคว่ำลงเอาลูกลมบีบย้อนขึ้นมุ่งเข้าไปที่แผงเซ็นเซอร์แล้วบรรจงบีบให้ฝุ่นมันตกลงมา ถ้าเราเอากล้องแหงนขึ้นแล้วเป่าฝุ่นก็เหมือนกับเราไปย้ายที่ฝุ่นนั่นเองครับ ไม่มีประโยชน์อันใด ทำสักไม่เกิน 10 ครั้งแล้วลองครอบเลนส์ที่ทำความสะอาดแบบเดียวกัน แล้วลองถ่ายดูใน F Number เดิม ๆ จะพอลดได้บ้าง แต่ถ้าไม่หาย กรุณาไปเข้าศูนย์บริการนะครับ

ลูกลม ลูกยาง เรียกะไรก็ได้

สุดท้ายเก็บกล้องเมื่อไม่ใช้กรุณาถอดแบตเตอรี่ออกนะครับ แบตเตอรี่ใส่ฝาเก็บไว้ป้องกันการลัดวงจร กล้องถ่ายภาพและเลนส์ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ครอยนิ้วมือออก ถ้าไปถ่ายภาพในที่ชื้น ๆ มาเช่น ทะล น้ำตก ทะเลหมอก แนะนำว่าให้วางไว้ในสถานที่ลมถ่ายเทได้สะดวกสัก 2-3 ชั่วโมงก่อนเก็บกล้อง จะได้ให้ความชื้นที่มีอยู่ในกล้องระเหยออกมาบ้าง และถ้าใครมีกล่องเก็บความชื้น และตู้ใหญ่ ๆ ล่ะก็จะดีมาก ๆ เลยครับ ส่วนถ้าใครไม่มี ก็สามารถใช้สารดูดความชื้น (Siliga Gel) และนำกล้องไปใส่ในกล่องถนอมอาหารเอาก็ได้นะครับ แล้วหมักไปพร้อมกับสารดูดความชื้นเอาจะพอช่วยได้บ้าง และหมั่นเปลี่ยนสารดูดความชื้นดังกล่าวในเวลา 4 เดือนนะครับ จะช่วยกล่องที่เก็บกล้องนั้นแห้งมากขึ้นครับ

Posted by: Natt | 10 พฤศจิกายน 2008

เตรียมตัวไปถ่ายภาพใน Motor Expo 2008

หลังจากไปดูรถแข่งวิ่งเร็วจี๊ดด กันมาแล้วครับในเนื้อหาก่อนหน้านี้ ต่อไปงานอดิเรกของนักถ่ายภาพจากมือสมัครเล่นไปยังมือโปร คือต้องฝึกฝน และพัฒนาฝีมือตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ถามต่อไปอีกว่าแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ก็คำตอบไม่ยากเลยครับ

ขั้นแรก พัฒนาด้วยตัวคุณเอง อยู่บ้านว่าง ๆ ถ่ายอะไรเล่น รีทัชภาพเล่นบ้างนะครับ หรือว่าคุณพกกล้องเวลาคุณไปไหน ๆ และอย่าลืมเก็บภาพกันด้วยครับ และส่งภาพเข้าเวปไซต์เพื่อรับการวิจารณ์ หรือดูงานคนอื่น ๆ เป็นประจำครับ

ขั้นสอง พัฒนาด้วยการไปร่วมแจมกับเวปไซต์ต่าง ๆ ที่แนะนำเลยครับ ทริปหนอนในห้องกล้องในเวปพันธุทิพย์ (Pantip) บ้าง เวปไทยดีโฟโต้ (ThaiDphoto.com) หรือเข้าร่วมฝึกฝีมือการถ่ายภาพจากนิตยสารต่าง ๆ ทั้งฟรี และไม่ฟรีบ้าง เช่น Fotoinfo, Shutter Photography,  Camerart เป็นต้น.. หรือสุดท้ายร้านค้ากล้องถ่ายภาพที่คุณได้ซื้อมานั่นเองนั่นแหละครับ ที่มีแถมคอร์สอบรมบ้างที่ได้ความรู้เบื้องต้นในการถ่ายภาพอย่างดีเลยทีเดียวครับ

มีอีกงานนึงที่ไม่อยากให้พลาดเลยครับ ใน งานมหกรรมรถยนต์ (Motor Expo 2008) ที่จะถึงนี้ในปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 นี้ ครับที่อาคารแชลเลนเจอร์ ฮอลล์ (Challenger Hall) เมืองทองธานี ในวันที่ 29 พ.ย. – 10 ธ.ค. 51 นี้ครับ บัตรฟรีหาได้ตามนิตยสารรถยนต์ หรือว่าขอตามรายการวิทยุ หรือโทรทัศน์เอาครับ แต่ถ้าจะไปซื้อบัตรเข้างานก็ตามสะดวกนะครับ ชิงโชครถยนต์ได้อีกต่างหาก

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting
ต้องเตรียมอะไรบ้างต่อการเดินทางไปถ่ายภาพ อุปกรณ์ต่าง ๆ เตรียมความพร้อม สำหรับผู้ที่ชอบการถ่ายภาพ แต่ไม่รู้ว่าเราต้องมีอะไรบ้าง และต้องทำอย่างไรกันบ้าง เอาที่ผมเคยใช้ประจำก็วันนี้มีแนะนำครับ

  1. กล้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มนะครับ ทำการ์ดแนะนำว่าให้ว่างที่สุดไว้ เช็คสภาพความพร้อมในการเบียดเสียดยัดเยียดของคลื่นมหาชนที่จะไปพร้อม ๆ กันกับเรา
  2. กระเป๋าที่ใช้โปรดระมัดระวังมิจฉาชีพด้วยครับ เก็บดี ๆ ระวังเลนส์หรือกระเป๋าตังค์หาย
  3. เลนส์ที่เตรียมไป มีสองประเภท ถ้าถ่ายทั่วไป ไม่เน้นพริตตี้ เอาเลนส์ขนาดธรรมดาไป ไม่ว่าจะเป็น 17-85, 24-105, 28-135 ได้ทั้งนั้นเลยครับ ไม่แนะนำให้ใช้เลนส์กว้าง ๆ เช่น 17-40, 10-22 มันกว้างไปครับ ส่วนถ้าถ่ายแนวสวยใส เน้นพริตตี้ ต้องมีอย่างแรกเลยครับเลนส์เทเล ตามทุนทรัพย์เลยครับ ไม่ว่าจะเป็น 75-300 III, 70-300, 70-200 F4 หรือ F2.8 กันก็ได้สบายมาก ๆ
  4. แฟลช ถ้าคุณมี 430EX, 580EX จะดีมาก ๆ กับการอีเวนท์แบบนี้ พกแบตให้เต็ม เอาไปเผื่ออีก 2-3 ชุดนะครับ เพราะพริตตี้ขอบอกว่าควรใช้แฟลช ถ้ามีถ้วยมาม่าสีขาวเอาไว้กระจายแสงก็ได้แสงนุ่มนวลเช่นกันครับ แต่ดูด้วยนะครับ ยืนไกลหรือเปล่า ถ้าไกลก็เอาออกเหอะครับ มันไม่เห็น แต่ถ้าระยะไม่เกิน 3 เมตร ใช้ถ้วยมาม่าได้เลยครับ ถ้าถ่ายมุมกว้างไม่ต้องใช้แฟลชนะครับ ลดสปีตชัตเตอร์และเพิ่ม ISO เอานะครับ
  5. ขาตั้งกล้อง ไม่จำเป็นนะครับ คนเยอะ แต่ถ้าไปวัน Press ก็แนะนำครับ Monopod สะดวกง่าย เร็ว
  6. ใส่เสื้อผ้าที่สะดวก รองเท้าผ้าใบ ให้เกียรติกับสถานที่ด้วย และเราเดินสะดวกด้วยไม่เมื่อย (งานมันใหญ่นะครับ)
  7. เวลาไปถ่ายพริตตี้ ควรมีมารยาทด้วยครับ อย่าหื่นกาม ย้ำเลยครับ เพราะคนถ่ายภาพโดนด่าไว้เยอะ ถ่ายเสร็จแล้วกรุณาพยักหน้าขอบคุณเขาด้วยครับ พริตตี้บางคนสามารถบอกน้องเค้าได้เลยครับว่าหันทางนี้หน่อย มองทางนี้นิดนึง แล้วบอกเขาด้วยว่าขอบคุณนะครับ เขาจะรู้สึกดีและไม่เครียดกับกล้องและเลนส์ของเรา
  8. เวลาถ่ายรถ หามุมแสงตกกระทบจากการจัดไฟของทางบูธเขาด้วยครับ ไม่งั้นแสงจะดรอป รถที่ถ่ายมาสีจะไม่ใช่ตามจริง และบางครั้งต้องมีการชดเชยแสงด้วยนะครับ เพราะกล้องอาจโดนสีรถหลอกเอาง่าย
  9. ใช้ Jpeg, Raw ไฟล์ก็ได้ครับ แล้วแต่ขนาดของการ์ด และความสามารถของการรีทัชของเราเองด้วยครับ

ผมมีรูปที่เคยไปถ่ายมาโพสให้รับชมกันครับ ลองหามุม และจัดคอมโพสให้ดี โดยดูจากนิตยสารแฟชั่นต่าง ๆ เพิ่มเติม ใสเดียเข้าไป

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

สุดยอดครับท่าน ไม่เคยไปในงานประเภทนี้มาก่อน กระตุ้นอะดรีนาลีนได้ดีมาก ๆ เกือบสองปีที่ผ่านมานอกจากไปงานแข่งรถครั้งแรกที่สนามแดรกที่คลอง 5 (Bangkok Drag Avenue) มาก็ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศมาเหมือนกัน หลากหลายคนชื่นชอบกันไปตาม ๆ กัน ทำให้วันนี้รู้สึกว่าไหน ๆ งานระดับประเทศทั้งที สงสัยต้องไปเยี่ยมชม เอากล้อง และอาวุธหนักที่มี “แบก” ไปด้วยเผื่อได้มุมสวย ๆ และก็ได้สวยจริง ๆ ครับ

รายละเอียดของงานไม่อธิบายไปมากนะครับ ท่านสามารถเข้าดูรายละเอียดของงาน และผลการแข่งขันได้ ใน “บางแสน ไทยแลนด์ สปีด เฟสติวัล: Bangsean Thailand Speed Festival” นะครับ

อันนี้นอกประเด็นจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรไปนิดนะครับ เพราะบรรยาศสนาม คนดู รถแข่ง มันกระตุ้นอารมณ์ของการถ่ายภาพได้ดีมาก ๆ ครั้งนี้วิ่งกันกว่า 10++ รอบสนาม อุบัติเหตุจริง เหตุการณ์จริง และได้อยู่ในเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความเสียหายของชีวิตไม่หาย เอาเรื่องมาเล่าทีไร เป็นเห็นภาพเท่านั้น วันที่ผมไปถ่ายเป็นวันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา 13.00-18.00 น. ในวันนั้นมีแข่ง Vios One Make Race, Supercar 2000 CC., และรุ่นใหญ่ Supercar บรรยากาศขี้หูจะไหลนอง เสียงเครื่องดังมาก ๆ ทางตรงวิ่งอัดกันเกิน 200 กม/ชม. และ Supercar ออกตัวเหมือนกระโจนออกมาซะอย่างงั้นเลยครับ ใช้ยางซอฟท์ไม่มีดอกยาง เกาะหนึบโคตร ๆ โดยเฉพาะ Nissan Skyline, Porsche 911, Mitsubishi EVO เป็นต้น เรื่องผู้มาดูงาน เพียบบและเรื่องเดิม ๆ คือ รถติดไม่ต้องบรรยายครับ หนีบแน่น เดี๋ยวเล่าเรื่องไปจะอธิบายกันไปเรื่อย ๆ นะครับ จะได้เห็นภาพว่าผมถ่ายภาพยังไง มีวิธียังไง เริ่มกันเลย

อุปกรณ์บันทึกภาพ:

  • Canon EOS 5D
  • EF 24-105 F4L IS USM
  • EF 70-200 F2.8L USM

ก่อนอื่นในการถ่ายภาพประเภทนี้ คุณต้องทราบมาล่วงหน้าก่อนว่า รถยนต์วิ่งเร็วมาก ในการที่จะถ่ายเพื่อจะให้รถหยุดนิ่งได้นั้น ต้องอาศัยสปีดชัตเตอร์สูง และถ้าอากาศไม่เป็นใจ ต้องเพิ่ม ISO ให้สูงตามขึ้นไปด้วยครับ ถามว่าเท่าไรจึงจะเพียงพอ เอาให้ได้สปีตชัตเตอร์ที่ความเร็ว 1/1000 ส่วนขึ้นไปครับ จึงจะนิ่งสนิท ส่วนค่า F Number เอาไว้ประมาณ 5.6 ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 8.0 นะครับ เพราะจะกินแสงทำให้ชัตเตอร์วิ่งไม่เร็วพอ แล้วถามต่อไปว่าถ้าต่ำกว่านั้นล่ะ มันจะเป็นยังไง มันก็เป็นทฤษฎีการถ่ายภาพแบบแพนนิ่ง (Panning) ไงครับ คือ ภาพที่วัตถุเคลื่อนที่และกล้องจับภาพได้นิ่ง แต่ส่วนด้านหลัง (Background) มีภาพเป็นเส้น ๆ เคลื่อนไหวยาว ๆ หรือให้มันเบลอ ๆ ไงครับ

สำคัญมาก Image Stabiliser: IS ต้องเปิดนะครับ ไม่งั้นจะทำให้ภาพไม่นิ่งได้ อีกอย่างแสงแฟลชเป็นข้อห้ามในการถ่ายภาพรถแข่งครับ เพราะจะทำให้เกิดการรบกวน (เฉพาะเมื่อคุณถ่ายภาพในพื้นที่ใกล้ ๆ กับนักแข่ง) เอารูปมาเล่าเรื่องกันดีกว่า ไม่งั้นอ่านอย่างเดียวเซ็งแย่

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

ต่อครับ ยังมีต่อ อย่าเพิ่งเบือกัน เห็นบ้างบางรูปมั้ยครับ ฉากหลังเบลอ ๆ เป็นเส้น ๆ อันนี้ใช้การถ่ายภาพแบบ Panning ครับ ส่วนถามว่าจับรายละเอียดเจาะเข้าไปในรถได้ยังไงกัน คือ ตอบอย่างไม่อายครับ ฝึกบ่อย ๆ ทักษะจะเกิดขึ้นเอง ต่อไปคร้าบบ..

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

อีกชุดนึงครับ ยังไม่หมด เย็น ๆ แสงแดดน้อยลง ถ่ายยากขึ้นเพราะมัวแต่เกิดอุบัติเหตุ เคลียร์สนามเหมือนอย่างภาพที่ได้เห็นข้างต้นนั่นแหละครับ มีเจ็บเพราะกระโดดหลบรถ 2 รายในบริเวณที่ยืนอยู่ และรถของคุณพี่หทัย ชัยวรรณ์ (เขียนชื่อผิดขอโทษด้วยครับ) จริง ๆ ต้องมี โตโยต้า วีโก้ ดริฟโชว์ (Toyota Vigo Drift Show) อีกครับ เย็นแล้ว และไม่ได้พกแฟลชมาเลยกลับบ้านดีกว่า

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

หมดแล้วครับ สรุปง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง คือ ฝึกบ่อย ๆ อย่าอายถ่ายภาพ พยายามควบคุมฝีมือตนเองมากกว่าไปใช้วิธีบนคอมพิวเตอร์ ขอบคุณมาก ๆ ครับที่ได้รับชมกันตลอด

Posted by: Natt | 8 พฤศจิกายน 2008

ของมือสอง กับกล้องถ่ายภาพ

ปัจจุบันนี้คงปฎิเสธไม่ได้ว่า พิษของเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตเกิดความเปลี่ยนแปลงไป ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจการถ่ายภาพด้วยเช่นกัน จากสินค้าที่ดีในมือหนึ่งที่หาซื้อได้ทั่วไปตามแหล่งที่จัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วไป จนเกิดการตกสะเก็ด ระเห็จไปซื้อสินค้ามือสองผ่านหน้าเวปไซต์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหมู่มวลวงการของนักท่องอินเตอร์เน็ตด้วยกัน และไม่น่าเชื่อว่าวงการของสินค้ากล้อง เลนส์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นมือสองจะได้รับความนิยมอะไรกันเยี่ยงนี้

ผมก็คนหนึ่งแหละครับ ที่ตอนแรก ๆ มองแต่สินค้ามือหนึ่งเป็นหลัก เพราะเนื่องด้วยไม่เชื่อในคุณภาพของคนที่ใช้มาก่อนหน้าที่ แต่พอเทียบถึงราคาที่ซื้อ การตกรุ่น การประกันที่ยังค้างอยู่ เป็นประเด็นหลัก ๆ เลยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้ามือสอง ไม่ว่าจะเป็นแฟลช ก็หามามือสอง เลนส์ที่ใช้อยู่ก็มือสอง กริ๊ปก็มือสองอีก เยอะแยะไปหมดเลยแม้กระทั่งไอ้พ๊อดดของกระพ้มเองก็ยังเป็นมือสอง.. มือสอง มันดีอะไร.. ทำไมคนถึงชอบ อันนี้ไม่ทราบได้ถ้าคุณไม่เคยซื้อ.. ต้องลองครับว่าสินค้ามือสองประสบการณ์ที่ผ่านมาจะบอกคุณเองว่าสินค้ามือสองมันดีอย่างไร

เลนส์ใส ๆ

ผมขอเอาประสบการณ์จากการซื้อสินค้ามือสองเข้ามาในการแบ่งปันกันครับ ผมเอนเอียงมาในอุปกรณ์กล้องเป็นหลักนะครับ ตามนี้…

  1. สินค้าทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย มีรอยให้น้อยที่สุด ถามผู้ขายตรง ๆ เลยก็ได้ครับ ว่าเคยมีประวัติการตก กระแทก เสียหาย ซ่อม หรือเป็นรอยอะไรหรือไม่? สินค้าที่เหมาะแก่การซื้อสภาพต้องอยู่ในเกณฑ์ 95% ขึ้นไป ถ้ามีกล่อง และอุปกรณ์ครบ ๆ ราคาจะยิ่งแพงขึ้นไป เพราะแสดงถึงการเก็บรักษาที่ดี และอย่าลืมคุณต้องตรวจเช็คทุกฟังก์ชั่น ยิ่งเรื่องเลนส์ต้องดูพวกฝ้า รา ชัดใส และการโฟกัสด้วยครับ หรือถ้าสินค้ากล้องยิ่งต้องดูความสะอาด ผิวสัมผัส คราบเหงื่อ และถ้าแฟลชต้องไม่เหลือง ไม่มีรอยกระแทก เป็นต้น
  2. มีประกันหรือไม่? ถ้ามีประกันก็จะทำให้สินค้ามีความมั่นใจต่อการซื้อ จะรู้ได้โดยการนำบัตรประกันมาแสดงอย่างตรงไปตรงมา หรือการอนุญาตของผู้ซื้อในการโทรเช็คประกันจากศูนย์บริการในเวลาทำการ เอาอีกกับเครื่องประกันศูนย์ หรือประกันร้าน สินค้ามือสองราคาก็จะแตกต่างกันในส่วนนี้เช่นเดียวกันครับ
  3. สภาพการใช้งานหลักของผู้ขาย? แต่ก่อนไม่ทราบว่าคุณถ่ายเล่น ๆ หรือรับงานครับ? ประโยคนี้ถามได้แน่นอน และถ้าเค้าพกกล้องมายิ่งดีมาก เพราะจะทำให้เห็นถึงนิสัยของการใช้งาน และการเก็บรักษาของกล้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เค้ามีอยู่
  4. เช็คผู้ขาย.. ไม่ยากเลย ก็ในเวปที่คุณซื้อมานั่นแหละ ดูประวัติผู้ขาย หรือถ้าไม่แน่ใจ Google มีประโยชน์มากครับ ใส่เบอร์โทร, ชื่อยูสเซอร์เนม, ชื่อจริง อื่น ๆ ดูว่าเป็นนักขายแอบแฝง (เกรียน) มาหรือเปล่า หรือว่าใช้งานเองขายเอง เพราะจะกันการโดนหลอกได้ดีเลยครับ หรือง่าย ๆ ให้เค้าอธิบายการใช้งาน หรือรายละเอียดเชิงลึกง่าย ๆ บางข้อที่เราได้ทำการบ้านมาแล้วไขสือไม่รู้เรื่อง ถ้าอ้ำอิ้ง แอบเนียน แถ ๆ ไปว่าโยนไปบอกว่าของน้องบ้าง เพื่อนฝากขายบ้าง ระวังเจอข้อหาซื้อของโจรนะครับ
  5. ขายทำไม?? ถ้าของอยู่ดี ๆ มาขาย มันแปลก ๆ ต้องถามว่าแล้วเค้าเอาเงินที่ขายเราได้ไปทำอะไร ซื้อรุ่นใหม่? ใช้หนี้บอล? หรือว่าสินค้าโดนขโมยมาขาย? ถามได้ครับ ถ้ามีอาการพิรุธของผู้ขายก็ถอยซะเถิดครับ
  6. ราคาไม่แพงเกิ้น.. ลองเทียบ ๆ ดูกับสินค้ารุ่นเดียวกัน แบบเดียวกันในช่วงระยะเดือนที่ผ่านมาครับ เชื่อว่ามีผู้ขายแน่นอนก่อนหน้านี้ เช็คราคาให้มั่นใจ หรือบางครั้งถูกไปก็ถามกันตรง ๆ หรือแพงไปทำไมแพง มีอะไรดีกว่าคนอื่น ๆ  

ระยะชัดลึก

ส่วนเวปไซต์ที่โพสขายของมีเยอะแยะมากมายครับ ลองใช้ Google ให้เป็นประโยชน์ ส่วนเวปไซต์เชื่อถือได้ก็สอบถามได้ครับที่โอเคอยู่ตอนนี้ หรือว่าเอา 6 วิธีนี้ไปใช้กับสินค้าอื่น ๆ ก็ได้นะครับ ในรายละเอียดว่าดูอย่างไร ผมคงให้ลองค้นหาดูเองครับ มีหลายคนได้พูดถึงในส่วนนี้ไว้เยอะมาก ๆ ผมก็ศึกษาจากการอ่านแหละครับ จึงได้รู้ถึงวันนี้ได้ ส่วนผู้ใดซื้อครั้งแรก ไม่รู้ว่าดูอย่างไร แนะนำพาเพื่อนที่ดูเป็น รู้เรื่อง ไม่ซี้ซั้วไปก็น่าจะโอเคแล้วครับ แล้วก็เลี้ยงข้าวคืนแต๊งกิ้วไปก็จบเรื่อง..

จากกลางวันอันร้อนระอุของสภาพการจราจรที่มีอยู่แออัดยัดเยียดในเมืองหลวง และหลังจากที่ได้อ่านสถานที่ตอนกลางวันไปแล้วนะครับ มาตอนกลางคืนกันบ้าง ที่มีอะไรที่น่าเดินทาง ท่องเที่ยว ถ่ายภาพ เลยทีเดียวครับ และดีอย่างยิ่งที่ช่วงนี้อากาศจะเริ่มเย็นลงไปเรื่อย ๆ และเหมาะสมกันมาก ๆ กับการเดินชมเส้นทางอันสวยงามของความเจริญในเมืองหลวง แต่กระนั้นก็ตามเถอะครับ เท่าที่เคยไปต่างประเทศ เค้าจะมีระบบการจัดการที่ดีกว่านี้ แต่จะว่าไป เมืองไทย กรุงเทพ เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นักท่องเที่ยวจึงชอบที่จะมาเยี่ยมเยือนกันให้เห็นเป็นประจำเลยไงล่ะครับ แต่จะเป็นอย่างไรติดตามกันมาเลย…

ก่อนอื่นจะต้องขอบอกว่าถ้าไปถ่ายรูปกลางคืน แบ่งได้สองแบบด้วยกัน

แบบแรก ถ่ายเล่น ๆ แบบพาเพื่อน ญาติ แฟนไปด้วย ก็ไม่ต้องเนียนมาก เดี๋ยวคนที่ไปด้วยจะเบื่อเอา

  • อุปกรณ์เน้นเบา ๆ เลนส์ขนาดกลางที่ติดกล้องทั่วไป ปรับตั้งในระยะ 17-24 mm. เป็นค่าเริ่มต้น ปรับตั้งค่าเอาง่าย ๆ Av, Tv ตามถนัด และอย่าลืมชดเชยแสงเพิ่มเติมด้วยครับ จะเข้มหรืออ่อนก็ตามสะดวก
  • ตั้ง ISO ตามกล้องดิจิตอลแบบถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ (DSLR) ก็ไม่ต้องกลัวล่ะครับ ปรับกันไปเลย 800 เดี๋ยวนี้กล้องแทบจะไม่มีน้อยส์ (Noise) แล้วครับ
  • แฟลช (Flash) แล้วแต่ความจำเป็น ถ้าคิดว่าจะเอาคนไปยืนอยู่ในรูปด้วยก็สมควรที่ใช้แฟลช จะหัวกล้องก็ได้ พอมีแสง และอย่ายืนเกิน 4 เมตรจากกล้องนะครับ เดี๋ยวแฟลชจะไปไม่ถึงเอา ส่วนถ้าผู้ใดมีแฟลชแยกจะยืนตรงไหนก็ได้ ตามสบาย
  • ขาตั้งกล้องต้องมีแน่ ๆ ไม่งั้นคุณจะถ่ายรูปแล้วจะโดนแฟนคุณว่าแน่ ๆ ว่าถ่ายยังไงจึงเบลอจัง

แบบสอง ถ่ายเอาจริงจัง แนะนำว่าไปคนเดียว เดี๋ยวทะเลาะกับแฟน ต้องใช้อุปกรณ์เหมือนกับด้านบนนั่นแหละ แต่เพียงเปลี่ยนค่าปรับตั้งใหม่เพื่อให้เป็นโปรฯ จริง ๆ ดังนี้เลยครับ

  • ปรับค่าตั้งกล้องใช้ M และมุ่งเน้นการวัดแสงแบบหนักกลางเป็นหลัก ชดเชยแสงตามความเหมาะสม
  • เช็คภาพหลังการถ่ายทุกครั้ง ให้แน่ใจว่าไม่สั่น เอียง แนะนำให้เปิด Grid เพื่อเช็คระดับสำหรับกล้องท่านใดที่มีครับ
  • ใช้ ISO อยู่ให้น้อยที่สุด แต่ผลเสียจะตามมาคือชัตเตอร์จะใช้เวลานาน กล้องจะสั่นได้เมื่อรถเมล์วิ่งมาเร็ว ๆ และสำหรับผู้ที่ไม่มีรีโมทชัตเตอร์ให้ใช้ ชัตเตอร์นับ 10 หรือ 2 วินาที เพราะถ้าเรากดเองกล้องจะเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้ภาพสั่นไหวตามมา
  • ปรับตั้ง Custom function ให้เปิดฟังก์ชั่น Mirror Lockup ไว้ คือการล็อคกระจกไม่ให้มันสั่นสะเทือน ที่เป็นสาเหตุให้ภาพสั่นไหวตามมา
  • ขาตั้งกล้องต้องมีแน่นอน เอาตั้งมั่นให้ได้แข็ง ๆ นะครับ จะกันสั่นได้ดีกว่าเบา ๆ

หลังจากที่ได้รู้กันแล้วก็มาดูสถานที่ถ่ายภาพกันเลยครับ และต้องขอขอบคุณสำหรับบล็อกของคุณ Commandosexy และหน้าเวปบอร์ดของคุณ ตั้งไข่ ไว้ด้วยครับสำหรับการเขียนหน้านี้

สี่แยกราชประสงค์ เริ่มต้นก็มาเอาชัยกันเลยครับ เป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนาในหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี เลยครับ ไปแวะเวียนไหว้กันทีไรเป็นอันร้องไห้ทุกครั้งเพราะกลิ่นควันธูปเยอะมาก ๆ แต่พักหลัง ๆ ที่เกิดเหตุการณ์ทุบพระพรหมที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีระบบการจัดการที่ดีมากขึ้น ไม่สับสน และมั่วซั่วเหมือนในแต่ก่อน ทำให้เวลาถ่ายรูปมีที่จัดแจงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หรือว่าเดินย้อนไปในโรงแรมโฟร์ซีซัน (รีเจ้นท์เดิม) ก็จะพบเห็นการประดับไฟอยู่พอสมควรเลยครับ

ทางเดิน BTS Walkway ระหว่างเกษรพลาซ่า ไปจนถึง สยาม จะเห็นมุมมองรถยนต์ที่วิ่งไปมาอย่างขวักไขว่ และถ้าเราตั้งกล้องมองไปทางประตูน้ำ ตึกไบหยกล่ะก็จะเห็นว่า กรุงเทพ เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหลไปเลยครับ สักพัก เดินลงมาที่หน้า เซ็นทรัลเวิลด์ (Central World) ปกติในฤดูหนาวของทุกปี ทางห้างจะจัดตุ๊กตาหิมะ กล่องของขวัญยักษ์เอาไว้ให้ถ่ายภาพกันด้วยครับ น่าสนใจอย่างยิ่งต่อการพาแฟนไปทำโรแมนติกที่นี่ด้วยครับ

เดินไปเรื่อย ๆ ยัง สยามพารากอน (Siam Paragon) สยาม เซ็นเตอร์ (Siam Center) และสยาม ดิสคัฟเวอรี (Siam Discovery) ความสวยงามของน้ำพุบริเวณหน้าห้าง และการจัดนิทรรศการต้อรับเทศกาลฤดูหนาวที่มีให้พบเห็นกันอย่างทั่วไปครับ

สุดทางไปที่ BTS Walkway ที่สี่แยกปทุมวัน บริเวณด้านขวามือ เป็น ศูนย์สรรพสินค้ามาบุญครอง หรือเอ็มบีเค (MBK Center) และด้านซ้ายเป็นสยามสแควร์ที่ลือเลื่องกันมีอย่างยาวนานเลยครับ ทั้งกิน เที่ยว ทุกอย่างจริง ๆ นักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ และสุดท้ายอย่าลืมเอารูปมารีทัช (Retouch) กันด้วยนะครับ

หลังจากที่เราได้รู้กันแล้วในหลักการซื้อกล้อง เลนส์ ต่าง ๆ มาว่ากันต่อกับสถานที่ถ่ายภาพในกรุงเทพฯ กันเลยดีกว่าครับ ผมจะแบ่งเป็นการเดินเที่ยวกลางวัน กับการเดินเที่ยวกลางคืนนะครับ ส่วนท่านใดจะเอาแบบผสมผสานก็ตามใจท่าน ๆ กันเลยนะ แล้วอีกอย่างเกาะรัตนโกสินทร์ผมเชื่อว่าทุกคนมีการเขียนลงไปหมดแล้วว่าไปถ่ายรูปเดินเที่ยวกันเป็นที่น่าพอใจกันระดับนึง แต่ส่วนผมจะเน้นไปยังสถานที่แปลกหูแปลกตา มีอาคาร ตึกรามบ้านช่องกันทั่วไปมากกว่านะครับ ให้เพื่อนที่อยู่ตามต่างจังหวัดเผื่อไว้เข้ามาเที่ยว กทม. จะได้มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางท่องเที่ยวนะครับ สรุปได้ดังนี้นะ

 

กลางวัน: สถานที่อันเป็นที่สวยงามต่อการถ่ายภาพเดินชมนู่นนี่นั่นเลย

ย่านถนนสีลม – เป็นย่านการค้า ธุรกิจ ช็อปปิ้ง ท่องเที่ยวที่กว้างใหญ่ไพศาลที่ดีแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ส่วนผู้ที่ทำงานอยู่แถวนั้นคงจะเบื่อกันไปตาม ๆ กันคือเรื่องรถติด สาหัสสุด ๆ แต่กระนั้นก็ตามแหล่งถนนสีลมมีความสนุกสนานที่ไม่เหมือนใคร มีอาหารที่แปลกหูแปลกตา ทั้งอาหารไทย ๆ ที่เป็นแหล่งรับประทานอาหารกลางวันของคนทำงานแถวนั้น และมีอาหารสำหรับเพื่อการกินอย่างแท้จริงด้วยหลากหลายที่มาก ๆ ครับ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณนั้น เอาเฉพาะเดินถ่ายภาพได้ หามุมแปลก ๆ สวย ๆ และยิ่งถ่ายเป็นแบบโลโม (LOMO) ได้ยิ่งดีเลยครับ

สวนลุมพินี (บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ และในบริเวณสวนสาธารณะ) จะมองไปบริเวณรายรอบจะเห็นตึกหน้าตาแปลก ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ เช่น อาคารอื้อจื่อเหลียง อาคารอับดุลย์ราฮิม อาคารแอลเฮชแบ๊งค์ (ไลฟ์ เซ็นเตอร์) โรงพยาบาลจุฬา เป็นต้น เป็นมุมตึกที่มีความขลัง สวยงาม แปลกตา โดยเมื่อคุณลองเปลี่ยนค่าที่กล้องของคุณให้เป็น Monochrome ใน Picturestyle ของกล้องแคนนอน EOS ทุกรุ่นก็ตาม จะได้ภาพที่มีมิติ สวยงามน่าดูชมเลยทีเดียว

สวนลุมพินี

ระหว่างทางเดินเข้าไปถนนสีลม จะเห็นเส้นทางของ รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง (Saladang) ที่มุ่งตัดผ่านย่านการค้าที่สำคัญของกรุงเทพ เวลาถ่ายภาพแล้วทิ้งความเร็วชัตเตอร์ช้า ๆ จับกล้องให้นิ่ง ๆ และใช้ระบบ IS (Image Stabiliser) ให้เป็นประโยชน์ จะเห็นขบวนรถไฟฟ้ากำลังมีการเคลือนไหวผ่านไป เห็นรถยนต์กำลังมีการเคลื่อนไหวตัว ก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียว

เดินลึกเข้ามาที่บริเวณ ธนาคารกรุงเทพ (สำนักงานใหญ่) จะเดินเล่นก็ได้ หรือจะมาหาของกินก็ได้ หรือแม้กระทั่งเตรียมเงินมาเยอะ ๆ ก็ได้ แถวนี้เค้าเรียก “ซอยละลายทรัพย์” ก็ตามชื่อเลยครับ ทุกเพศทุกวัย เดินกันให้คลั่ก ๆ แน่น ๆ ของใช่ว่าจะถูกนะเดินไปน่ะ แพงได้เรื่องเลยทีเดียว ทั้งของกิน ผลไม้ หมูปิ้ง น้ำปั่น กาแฟ เสื้อผ้า ของประดับ ของเล่น หวย และอีกมากมายที่หาได้ค่อนข้างยาก มักจะพบที่นี่ จึงเป็นเสน่ห์ในการเดินทางมาของนักช๊อบทั่วสารทิศด้วยกัน ผู้ที่จะถ่ายภาพ ใช้คอนเซ็ปในความจอแจ ความวุ่นวายของเมืองหลวงจะสวยงามเลยทีเดียวครับ ส่วนเรื่องอุปกรณ์ผมแนะนำให้ใช้เลนส์มุมกว้าง เช่น EFS 10-22mm. F3.5-5.6 USM เพราะสะดวก และได้เปรียบต่อความเบียดเสียดของที่นี่เลยครับผม..

เดินผ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ จนถึง สี่แยกนราธิวาสราชนครินทร์ตัดกับถนนสีลม (แยกนรารมย์) บริเวณนั้นก็จะมีส่วนโค้งของรถไฟฟ้า BTS เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่สวยงามน่าดูชมเลยทีเดียว และอาคารในบริเวณนั้นก็มีแปลกตาให้พบเห็น เช่น อาคารสำนักงานของ AIA ถนนสุริวงค์ อาคารเอ็มไพร์ ที่สูงมาก ๆ อาคารหนึ่งของกรุงเทพ อาคารบางกอกซิตี้ทาวเวอร์ ที่มีมุมแหลมตัดแยกกลางถนน ณ ถนนสาทรใต้ เป็นต้น

เดินไปอีกถ้าเหนื่อยก็หาที่พักกันเอานะครับ แถวนั้นมีให้เพียบบ แล้วเรามาเดินทางต่อไปใน วัดแขก (วัดพระศรีมหาอุมาเทวี) เป็นวัดที่มีหน้าตาแปลกไม่เหมือนใคร ๆ เพราะคนพราหมณ์ และฮินดู มักจะไปเยี่ยมเยียน ทำบุญกันเป็นกิจวัตรประจำวัน ส่วนที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพในอาคารหรือโบสถ์นะครับ ถ่ายได้แต่ภายนอกเท่านั้นก็ดูแปลกตาไปอีกแบบนึงทีเดียว และถ้าคุณมาช่วงเวลาที่มีการทำพิธีของวัดนี้ล่ะก็ สวยงามอย่าบอกใครเลยทีเดียว เค้าเรียกงานนี้ว่า “สักการะพระแม่อุมาเทวี” ช่วงประมาณปลายปีนี่แหละครับ อากาศสบาย ๆ น่าเดินดีด้วย มุมกล้องที่ใช้ควรเป็นเลนส์มุมกว้างอีกเช่นกันครับ ลองเปลี่ยน Picturestyle ที่มีอยู่ให้เป็น Landscape สิครับ สีสวยจัดจ้านขึ้นเยอะเลยที่นี่

วัดแขก

เมื่อยแล้วหรือยัง? ถ้ายังก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ มุ่งหน้าถนนเจริญกรุง ช่วงนี้อาจไกลหน่อยนะครับ หรือสะดวกเป็นรถตุ๊กตุ๊ก ก็ได้ดีไปอีกแบบนึงเลย และสุดท้ายของทริปนี้ คือการเดินทางไปสุดทางที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณโรงแรมโอเรียนเต็ล (Oriental Hotel Bangkok) บริเวณนั้นที่สามารถเดินทางไปได้เลย คือ อาสนวิหารอัสสัมชัญ ที่เป็นโบสถ์เก่าแก่กว่า 200 ปีเลยทีเดียวครับ ใช้เลนส์มุมกว้างนะครับ จะดีมาก และถ้าพกขาตั้งกล้องไปด้วย จะสวยงามขึ้นเยอะเลย ต่อจากนี้จะออกมาเดินรับลมบริเวณท่าน้ำ ของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างไรก็ตามสะดวกครับ จะได้มุมอีกมุมที่สวยงามระหว่างสะพานตากสินทางด้านซ้ายมือ และอาคารแปลกตาฝั่งธนบุรี

าสนวิหาร ัสสัมชัญ

ถ้าเกิดยังไม่สนุกพอ แนะนำให้คุณนั่งเรือข้ามฟาก ระหว่างที่นั่งเรือก็ถ่ายไปด้วยนะครับ ระหว่างเรือแล่นอยู่กลางแม่น้ำ จะได้เห็นวิวทั้งสองฝั่งที่สวยงามเลย และขากลับ ถ้าคุณบ้าบอ และไม่เหนื่อยแนะนำเดินขึ้นสะพานตากสินกลับ แล้วใช้มุมมองถ่ายภาพย้อนกลับมาทางสาทร สีลมอีกครั้ง คุณได้มุมมองโรงแรมแชงกรีลา และเมืองหลวงที่เป็น เมืองฟ้าอมรก็อยู่ที่นี่ ตรงหน้าแหละครับ ถ้าฟ้าใส ๆ ให้ใช้ฟิลเตอร์ CPL นะครับ จะเปล่งประกายของฟ้า และเจ้าพระยาสีเหลืองทองเลย

กรุงเทพ

เป็นอย่างไรบ้าง ถ้ามีเวลาเดินทางท่องเที่ยวกันนะครับ แล้วจะได้รู้ว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ได้รับการจัดอันดับที่น่าท่องเที่ยวที่สุดในโลกได้อย่างไร

จากที่เราได้มาทราบกันแล้วในเรื่องราวของเลนส์จากค่ายแคนนอน (Canon) มาเป็นเบื้องต้นแล้ว ต่อจากนี้เราก็มาเจาะลึกกันระหว่างเลนส์แคนนอนที่เรียกว่าเลนส์คุณภาพ “L” และเลนส์เกรดธรรมดาในภาษาพื้น ๆ สำหรับผู้ที่เริ่มมีความสนใจต่อการถ่ายภาพกันนะครับ

เลนส์ทั่วไปในท้องตลาดจะมีด้วยกันสองแบบ คือ

เลนส์ฟิกซ์ (Fixed Lens) คือ เลนส์ที่มีขนาดเดียวไม่สามารถทำการซูม (Zoom) ภาพได้ เช่น EF 14 mm. F1.4L USM, EF 50 mm. F1.2L USM, EF 85 mm. F1.2L USM, EF 100 mm. F2.8 USM MACRO, EF 300 mm. F2.8L IS USM, EF 600 mm. F4L IS USM เป็นต้น ที่ขึ้นต้นด้วยความกว้างของขนาดเลนส์ค่าเดียว บางกูรูท่านก็ว่าไว้ว่า เลนส์ฟิกซ์แบบนี้ คุณภาพมีความเชื่อกันว่าจะดีกว่า เพราะเนื่องจากกระจกเลนส์ที่อยู่ในกระบอกเลนส์มีน้อยชิ้นกว่า ทำให้ความใสของเลนส์มีสูงกว่า โดยสิ่งต่าง ๆ มีความเชื่อที่ว่า เวลาเรามองผ่านกระจกออกไปนอกหน้าต่าง ถ้ามองผ่านกระจกหลายชั้น ภาพที่เรามองเห็นจะถูกตัดทอนลงไป ทำให้มองไม่ค่อยชัดไม่เหมือนกับการมองผ่านกระจกแผ่นเดียว จึงเกิดความเชื่อตามมา แต่ถ้าถามว่าสายตาคนพิสูจน์ได้หรือไม่กับเลนส์ฟิกซ์ที่ได้อธิบายไว้ กับเลนส์อีกประเภทหนึ่งที่มีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น คือ เลนส์ซูม ที่จะบอกต่อไปนี้

ข้อดี:

  • มีความเป็นมืออาชีพอย่างชัดเจน
  • คุณภาพดีกว่า เมื่อต้องการคุณภาพสูงต่อภาพถ่าย (เมื่อกล้องถ่ายภาพคุณมั่นใจว่ามีคุณภาพดีพอ)

ข้อเสีย:

  • ใช้งานลำบาก เพราะเวลาใช้งาน คุณต้องเดินเข้าออกด้วยตัวคุณเองนะ
  • เลนส์ใช้ได้เฉพาะทางเท่านั้น เช่น ถ่ายภาพบุคคล สถานที่เท่านั้น
  • เลนส์ตัวเดียวไม่สามารถใช้งานได้ทั่วไปได้ จำต้องเสียงานซื้อเพิ่มสำหรับงานแต่ละประเภท

เลนส์ซูม (Zoom Lens) คือ เลนส์ที่มีมุมกว้างที่สุด และระบุเลนส์มุมแคบที่สุด ในชื่อของเลนส์ โดยที่เราสามารถหมุนกระบอกเลนส์เพื่อทำการปรับระยะที่เราต้องการด้วยตนเองที่ไม่ต้องเคลื่อนย้ายตัวเอง และง่ายกว่าการเดินเข้า หรือออกไปหาวัตถุด้วยตัวเราเอง โดยระบุไว้บนรายละเอียดของเลนส์ที่เราสามารถได้อ่าน เช่น EFS 10-22mm. F3.5-5.6 USM, EF 24-70mm. F2.8L USM, EF 24-105mm. F4L IS USM, EF 70-200mm. F4L IS USM เป็นต้น ทำให้เราสะดวกต่อการใช้งาน แต่ในทางทฤษฎีท่านว่าไว้ว่า กระจกซูมในเลนส์จะมีชิ้นมากกว่า ทำการขยับ หรือหมุมตัวเลนส์ปรับระยะภาพตามต้องการ ยิ่งมีชิ้นเลนส์มาก ความคมชัด ความใสของเลนส์ก็ลดทอนลงตามไปด้วยเช่นกัน ตามที่พวกเราได้เรียนวิทยาศาสตร์ในช่วงมัธยมต้นนั่นแหละครับ แต่ถามคำถามเดิมแหละครับ เราสามารถมองเห็นถึงความแตกต่างกันได้หรือไม่ครับ?

ข้อดี:

  • สะดวกต่อการใช้งานทั่วไป (เลนส์ตัวเดียวเที่ยวทั่วโลก)
  • ราคามีหลากหลายระดับให้เลือกใช้งานตามความสามารถการชำระเงิน

ข้อเสีย:

  • คุณภาพสู้เลนส์ฟิกซ์ไม่ได้ (บางคนอาจมีข้อโต้แย้ง) โดยถ้าจะต้องการคุณภาพจริง ๆ อาจยกระดับ ขึ้นไปใช้เลนส์ซูมชนิด “L” จากแคนนอน (Canon) ก็เป็นทางเลือกเช่นเดียวกันครับ

 

Canon L Lenses

 

เห็นมั้ยครับว่ามันจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนรายละเอียดที่ได้เกริ่นนำไว้ว่าเลนส์ L คืออะไร ทางนี้ครับ

เลนส์แอล “L Lenses” คือ เลนส์ที่มีคุณภาพสูงกว่าเลนส์ทั่วไปที่จัดจำหน่ายอยู่ในประเทศ โดยญี่ปุ่นต้องการยกระดับคุณภาพของเลนส์ให้ทัดเทียมกับคุณภาพของเลนส์ที่มีอยู่ในตลาดของประเทศเยอรมัน ที่เป็นต้นตำรับของการผลิตกล้องถ่ายภาพและเลนส์ โดยแคนนอน (Canon) เลือกใช้คำว่า L ย่อมาจาก LUXUARY (ลักชัวรี่) แปลว่า หรูหรา นั่นเองครับ

ไม่ซับซ้อนและเข้าใจง่าย ๆ สังเกตง่าย ๆ ครับ ในการดูเลนส์ ถ้าเลนส์มีขอบแดงกระบอกสีดำ หรือเลนส์ขอบแดงกระบอกสีขาว ที่มีให้เห็นทั่วไปของช่างภาพที่ต้องการคุณภาพสูงต่อการถ่ายภาพในการลงหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรืองานโปรดักชั่นต่าง ๆ

โดยมีการประกอบชิ้นเลนส์อย่างปราณีต บรรจง มีซีลป้องกันระอองน้ำด้านหัวเลนส์ และกระบอกเลนส์ สามารถใช้งานในสถานที่อับชื้นได้ดี ชิ้นเลนส์บางชิ้นภายในเคลือบด้วยแร่ธาตุที่มีคุณภาพในการตัดแสง หักเหแสง และสะท้อนแสง ทำให้สีสันที่ปรากฎมีรายละเอียดและสวยงามกว่า หรือภาษาโปรฯ เค้าเรียกว่า “จัดจ้าน” กว่านั่นเอง

และแน่นอน หลายท่านคงคิดแล้วใช่มั้ยครับ ว่าราคาควรจะเป็นอย่างไร ก็แพงอยู่แหละครับ ยกตัวอย่างนะครับ ตามนี้คร่าว ๆ

  • EF 17-40 F4L USM ราคาจำหน่ายทั่วไป 25,500 บาท
  • EF 24-105 F4L IS USM ราคาจำหน่ายทั่วไป 39,900 บาท
  • EF 70-200 F4L IS USM ราคาจำหน่ายทั่วไป 39,900 บาท
  • EF 16-35 F2.8L USM II ราคาจำหน่ายทั่วไป 51,000 บาท
  • EF 24-70 F2.8L USM ราคาจำหน่ายทั่วไป 49,900 บาท
  • EF 70-200 F2.8L IS USM ราคาจำหน่ายทั่วไป 63,000 บาท

ต้องถามแล้วแหละครับ คุณถ่ายภาพเพื่ออะไร… ทำงาน? เล่น ๆ ไว้ท่องเที่ยว? หรือเปล่าครับ

Canon in Olympics

รายละเอียดระหว่างศาสตร์ และศิลป์ มันจะเริ่มเข้ามาบรรจบลงใกล้ ๆ นี้แล้วครับ

Older Posts »

หมวดหมู่